ที่มา...Insouth
สมาพันธ์นิสิตนักศึกษาจังหวัดยะลา
Confederation Students Yala
วันพุธที่ 24 พฤศจิกายน พ.ศ. 2553
วันจันทร์ที่ 11 ตุลาคม พ.ศ. 2553
ประชาสัมพันธ์ค่าย "ห้องสมุดที่ปลายฝัน จุดประกายทางปัญญา สู่สันติภาพที่ยั่งยืน"
ชื่อโครงการ ห้องสมุดที่ปลายฝัน จุดประกายทางปัญญา สู่สันติภาพที่ยั่งยืน
หน่วยงานที่รับผิดชอบ สมาพันธ์นิสิตนักศึกษามุสลิมแห่งประเทศไทย (MUSTFETH)
หลักการและเหตุผล
ความพยายามในการเสนอแนวทางนำพาสันติสุขกลับมาในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้นั้น ได้มีดำเนินการมาหลายวิธีการแล้วด้วยกัน โดยที่แต่ละวิธีการนั้นก็มุ่งไปที่การสร้างความเข้มแข็งให้กับชุมชน อย่างไรก็ตามในขณะเดียวกันก็มีอีกหลายความพยายามที่เมื่อดำเนินการไปแล้วกลับเป็นแค่การลงทุนในระยะสั้น และไม่สามารถเข้าไปถึงกลุ่มชาวบ้านในระดับรากหญ้าได้ เนื่องจากการกระทำดังกล่าวอาจเกิดขึ้นจากความพยายามของผู้ที่ไม่สามารถเข้าถึงประชาชนจริงๆได้ หรืออาจไม่ได้คิดถึงงานนั้นในฐานะที่ตนเองเป็นส่วนหนึ่ง และจะเป็นผู้ที่ได้รับผลจากการกระทำนั้นในระยะยาวด้วย
จากสภาพการณ์ดังกล่าวบวกกับในความเป็นจริงแล้วสภาพและผลของความศูนย์เสียที่เกิดขึ้นในพื้นที่ฯ ยังคงระอุอยู่ เนื่องจากไม่มีการแก้ไข และเยียวยาที่ดี เพราะไม่มีผู้ใดที่จะสามารถสะท้อนปัญหาที่แท้จริงได้ เนื่องจากในปัจจุบันกลุ่มที่สามารถเข้าหาประชาชนได้ดี และใกล้ชิดกับประชาชนในพื้นที่ฯที่สุดก็มีแค่นักศึกษา ที่ยังคงได้รับความเชื่อมั่นในความจริงใจจากชาวบ้านในพื้นที่เอง ดังนั้นกลุ่มนักศึกษานำโดยสมาพันธ์นิสิตนักศึกษามุสลิมแห่งประเทศไทย (สนมท, MUSTFETH) จึงจัด “โครงการห้องสมุดที่ปลายฝัน จุดประกายทางปัญญา สู่สันติภาพที่ยั่งยืน” โดยการนำนักศึกษาผู้ที่สนใจการทำงานรับใช้ประชาชนมาเรียนรู้สภาพความเป็นจริงของปัญหา และผลกระทบที่มีต่อประชาชนโดยการเข้ามาเป็นส่วนหนึ่งของการดำเนินชีวิตของประชาชนในพื้นที่ฯ เพื่อนักศึกษาจะได้รับรู้และเข้าใจถึงสิ่งที่เกิดขึ้นอย่างแท้จริง ตลอดจนสามารถทำหน้าที่ในการทำกิจกรรม และยืน/เดินเคียงข้างประชาชนต่อไป
นอกจากนี้นักศึกษาเองก็ตระหนักถึงความสำคัญของการลงทุน เพื่อการนำพาสันติสุขกลับมาในพื้นที่ด้วยวิธีที่ยั่งยืน และสามารถส่งผลในระยะยาวได้ ในโครงการนี้จึงมีการจัดกิจกรรมอบรมคุณธรรม จริยธรรมแก่ยุวชนในพื้นที่ โดยการจัดกิจกรรมส่งเสริมองค์ความรู้ การคิดสร้างสรรค์ ความรับผิดชอบต่อชุมชนบ้านเกิด และแนวคิดการใช้ศาสนาในการดำเนินชีวิตของยุวชนผ่านกระบวนการเรียนรู้โดยใช้ความรู้จากภูมิปัญญาท้องถิ่น และปราชญ์ชาวบ้าน เพื่อเสริมสร้างแนวคิดเป็นการจุดประกายความสำคัญของปัจจัยทางปัญญาในการเสริมสร้างชุมชนเข้มแข็งและสันติสุขให้กับยุวชน
รวมถึงในโครงการนี้ยังมีการจัดสร้างห้องสมุดชุมชน สำหรับเป็นแหล่งเรียนรู้ระยะยาวทางวิชาการจากภูมิปัญญาท้องถิ่นของชุมชนเอง เพื่อให้ชุมชนมีแนวคิดในการพึ่งพาตนเองได้ ตลอดจนเป็นการสร้างเครื่องหมายด้วยสถานที่ที่จะส่งเสริมให้ทุกคนหันมาตระหนักถึงความสำคัญของการนำพาสันติสุขอย่างยั่งยืนในพื้นที่ โดยการส่งเสริมการมีองค์ความรู้ขึ้นมาในชุมชน
วันพุธที่ 6 ตุลาคม พ.ศ. 2553
"กุหลาบไม่ไร้หนาม" "สุญญาตา" โฆษกสนนท.
ออกมาประกาศ "จุดยืน" ว่าจะอยู่เคียงข้างประชาชน และไม่เอา พ.ร.ก.การบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉิน ได้อย่างฉะฉาน ในเวทีนายกฯพบนักศึกษา หัวข้อ เปิดทางให้นักศึกษาและนิสิต เปิดความคิดเพื่อการปฏิรูป ที่ทำเนียบรัฐบาล ของสหพันธ์นิสิตนักศึกษาแห่งประเทศไทย (สนนท.)
โดยเฉพาะ น.ส.สุญญาตา เมี้ยนละม้าย หรือจู๋จี๋ อายุ 22 ปี นิสิตชั้นปี 4 คณะนิเทศศาสตร์ สาขาวารสารสนเทศ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ในฐานะโฆษก สนนท. หนึ่งในแกนนำที่ออกมาแสดงจุดยืนครั้งนี้ แม้ตัวจะเล็ก แต่ก็เป็นเล็กพริกขี้หนู เพราะ "กล้า" ออกมาคัดค้านนายกฯ ที่เปลี่ยนสถานที่การพบปะกับนักศึกษา จากคณะรัฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย เป็นตึกสันติไมตรี ทำเนียบรัฐบาล
"กิจกรรมการพบนักศึกษาครั้งนี้เป็นเพียงละครปาหี่ตบตาประชาชน ใช้นักศึกษาเป็นเครื่องมือในการหาคะแนนนิยมและสร้างภาพลักษณ์ของนายกรัฐมนตรีมือเปื้อนเลือด" ใจความตอนหนึ่งที่สุญญาตากล่าวในวันพบนายกฯ
วันอาทิตย์ที่ 19 กันยายน พ.ศ. 2553
เสวนาถอดบทเรียน "19 กันยา 49 ถึง 19 พฤษภา" รัฐประหารบนความขัดแย้ง
เมื่อวันที่ 18 กันยายน ที่ห้องเรียน 102 อาคาร1คณะรัฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย เครือข่ายนักกิจกรรมทางสังคมเพื่อประชาธิปไตย (คกป.) ได้จัดกิจกรรมเสวนาถอดบทเรียน "19 กันยา 49 ถึง 19 พฤษภา 53" โดยหัวข้อหนึ่งในการเสวนา คือ "อะไรจะเกิดขึ้นในอนาคต" นายสมบัติ บุญงามอนงค์ บ.ก.ลายจุด อดีตประธานมูลนิธิกระจกเงา กล่าวว่า ขณะนี้เราอยู่ในวิวัฒนาการก่อนการเปลี่ยนผ่าน เป็นการสะสมแรงก่อนการกระโดดไปข้างหน้า ที่ผ่านมาองค์กรอย่างแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ (นปช.) ไม่เคยมีการจัดการขบวน ไม่มีการจัดการองค์ความรู้ เมื่อแกนนำล่มสลาย ทำให้มวลชนจำนวนมากไม่รู้จะเคลื่อนไหวต่ออย่างไร ซึ่งขณะนี้ผมพยายามผลักดัน 2 ป. คือ 1. เปลี่ยนมวลชนเป็นผู้ปฏิบัติงาน ต้องปลดปล่อยศักยภาพของมวลชน ซึ่งไม่จำเป็นต้องการแกนนำที่เก่ง 2. เปลี่ยนสภากาแฟให้เป็นผู้ปฏิบัติงาน เพราะว่ามีการแสดงความคิดเห็นกันอยู่แล้ว "มวลชนเสื้อแดงเป็นมวลชนที่ตื่นแล้ว 2 ป. จึงสามารถเกิดขึ้นได้ เอาแค่ 10% ของคนเสื้อแดง ก็จะเป็นกลุ่มคนเคลื่อน ไหวที่มีศักยภาพ ในอนาคตผมจะพยายามเปลี่ยนกิจกรรมวันอาทิตย์สีแดง ให้เป็นเวิร์คชอป ให้เกิดผู้ปฏิบัติงานมากขึ้น เพื่อสร้างกระบวนการที่มีลักษณะเป็นแกนนอน คือ ทุกคนสามารถออกมาปฏิบัติการเคลื่อนไหวได้อย่างอิสระ โดยไม่ต้องรอใครคิดให้" นายสมบัติกล่าว นายปราการ กลิ่นฟุ้ง คณะสังคมศาสตร์ มหาวิทยาลัยรังสิต กล่าวว่า ตนได้อ้างอิงการวิเคราะห์ของอาจารย์สมศักดิ์ เจียมธีรสกุล ว่า รัฐประหาร 19 กันยา เกิดขึ้นบนความขัดแย้งของ 2 ขั้ว คือ รัฐสภาเข้ามามีอำนาจอย่างมาก ทำให้มีคนคิดว่าราชสำนักถูกท้าทาย จนนำไปสู่การทำรัฐประหาร นี่เป็นความวิตกกังวลแห่งชาติ ซึ่งตราบใดที่ความวิตกกังวลนี้ยังไม่หมดไป ความขัดแย้งก็ยังจะคงอยู่ และฝ่ายที่มาจากการเลือกตั้งที่จะถูกกดไว้โดยทหาร "ความขัดแย้งจะคลี่คลายลงเมื่อ ทำอย่างไรให้ประเด็นของคนเสื้อแดงกลายเป็นประเด็นสาธารณะ สามารถพูดคุยถกเถียงกันได้
สมัครสมาชิก:
บทความ (Atom)